วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบงานที่ 11

แสดงความรู้สึกความคิดเห็นที่ได้เรียนกับอาจารย์ เพื่อจะได้นำข้อคิดเห็นไปปรับปรุงในการเรียนการสอนในโอกาสต่อไป
  
 ศิษย์ซาบศิษย์ถึงคุณ การุญสอนสั่งหนังสือ จนศิษย์รุ่งเรืองเลื่องลือ ยกย่องครูคืออาจารย์



 

ใบงานที่ 10

ประวัติ
   สถานที่เกิด บ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 2 ตำบลคลองหรัง อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา
ระดับการศึกษา
   ประถมศึกษา โรงเรียนวัดแม่เปียะ
   มัธยมศึกษาตอนต้น หาดใหญ่วิทยาลัย
   มัธยมศึกษาตอนปลาย ธรรมโฆษิต
   อุดมศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ป.ตรี
                      มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ป.โท
                      มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ป.บัณฑิต
สถานที่ทำงาน
   โรงเรียนบ้านร่าปู อ.เกาะลันตา จ.กระบี่
    ตำแหน่ง ครู

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบงานที่ 9

ให้นักเรียนสรุปคุณลักษณะของผู้บริหารแบบมืออาชีพในยุคปัจจุบันนักศึกษาคิดว่าน่าจะไปอย่างไร ขอให้เขียนตอบลงใน Webboard แต่ละคน
นักบริหารมืออาชีพต้องมีคุณลักษณะภายในตนที่สามารถปลูกฝังและฝึก

   1) มีวิสัยทัศน์ มีสายตาที่ยาวไกล ก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
   2) ตรงไปตรงมา มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูงสุด
   3) ทำงานโดยมุ่งผลสำเร็จมากกว่ามุ่งกระบวนการ
   4) มองปัญหาชัดใช้ปัญญาในการการแก้ปัญหาและกล้าตัดสินใจ
   5) เป็นผู้มีศิลปในการประนีประนอม
   6) การทำงานเป็นทีม
   7) ซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม

ใบงานที่ 8

ตามที่อาจารย์ให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการใช้การใช้โปรแกรม SPSS OF WINDOWS ทบทวนพื้นฐานโดยให้นักศึกษาสรุปหัวข้อประเด็นดังนี้
1.ความหมายคำว่าสถิติ อ่านความหมายจากนักวิชาการหลาย ๆท่านแล้วสรุปเป็นความคิดของนักศึกษา
          สถิติ หมายถึง หลักฐานที่รวบรวมเอาไว้เป็นตัวเลขสำหรับเปรียบเทียบ
2.ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีความหมายว่าอย่างไร และแต่ละค่าเป็นสถิติประเภทใด
          ค่าเฉลี่ย คือ ผลรวมของค่าสังเกตหรือค่าของตัวอย่างที่ได้จากการสำรวจทุกค่าของข้อมูล แล้วหารด้วยจำนวนตัวอย่างของข้อมูล
          ค่ามัธยฐาน  เป็นค่ากลางของข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาตำแหน่งของข้อมูลที่อยู่ตรงกลางโดยที่ข้อมูลต้องทำการเรียงลำดับตามปริมาณจากมากไปน้อย หรือจากน้อยไปมากก็ได้
          ค่าฐานนิยม (Mode )ค่าฐานนิยมเป็นค่ากลางซึ่งจะนำมาใช้ในกรณีที่ข้อมูลมีการซ้ำกันมากๆจนผิดปกติ ซึ่งค่าฐานนิยมจะเป็นค่ากลางหรือตัวแทนของข้อมูลที่สามารถอธิบายลักษณะที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่ามัธยฐาน
         ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation: s.d.)  เป็นการวัดการกระจายแบบหนึ่งของกลุ่มข้อมูล สามารถนำไปใช้กับการแจกแจงความน่าจะเป็น ตัวแปรสุ่ม ประชากร หรือมัลติเซต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานมักเขียนแทนด้วยอักษรกรีกซิกมาตัวเล็ก (σ)
        ทั้งหมดเป็นสถิติ สถิติพรรณา
3.คำว่าประชากร และกลุ่มตัวอย่างเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ให้อธิบายยกตัวอย่างประกอบ
       ประชากร(Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ผู้วิจัยสนใจ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มของสิ่งของ คน หรือเหตุการณ์ต่างๆ
       กลุ่มตัวอย่างกลุ่ม(Sample)หมายถึง เป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่ผู้วิจัยสนใจ กลุ่มตัวอย่างที่ดีหมายถึงกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะต่างๆที่สำคัญครบถ้วนเหมือนกับกลุ่มประชากร เป็นตัวแทนที่ดีของกลุ่มประชากรได้
        ประชากร คือ จำนวนทั้งหมด   กลุ่มตัวอย่างเป็นส่วนหนึ่งของประชากร เช่น
              ประชากร   จำนวนครูในโรงเรียนทั้งหมด 10 คน
              กลุ่มตัวอย่าง จำนวนครูในโรงเรียนทีเลือกมาบางส่วนจาก 10 คน
4.นามบัญญัติ ระดับอันดับที่ ระดับช่วง ระดับอัตราส่วน ท่านเข้าใจอย่างไร อธิบายสั้น ๆ
        มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) ลักษณะเด่นของมาตรานี้คือ เป็นตัวแปรที่ถูกจัดเป็นกลุ่มๆ โดยที่ตัวแปรนี้ไม่สามารถจัดลำดับก่อนหลัง หรือบอกระยะห่างได้ เช่น เพศ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือเพศชาย และเพศหญิง
5.ตัวแปรคืออะไร ตัวแปรต้นคืออะไร ตัวแปรตามคืออะไร
        ตัวแปร (Variable) หมายถึง คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถแปรค่าได้ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระดับสติปัญญา เชื้อชาติ เป็นต้น6.สมมติฐาน คืออะไร สมมติฐานการวิจัยมีกี่ประเภทอะไรบ้าง

         ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผล หรือก่อให้เกิดการแปรผันของปรากฏการณ์ เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดหรือจัดกระทำได้ เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรนี้
         ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นผลมากจากการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยมุ่งวัดเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับนำมาวิเคราะห ์เพื่อตอบคำถามของการวิจัยว่าเป็นผลมากจากสิ่งใด

        สมมุติฐาน คือ จุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้า และเป็นข้อความที่เสนอคำตอบที่คาดคิดว่าน่าจะเป็นสำหรับปัญหาการวิจัยที่กำหนดศึกษา
       ประเภทของสมมุติฐานการวิจัย
           1.สมมุติฐานที่เน้นการตอบปัญหาโดยไม่คำนึงมีการทดสอบทางสถิติ
           2.สมมุติฐานที่เน้นการตอบปัญหาโดยการทดสอบทางสถิติ
7. T-test, F-test เหมือนหรือต่างอย่างไร
          โดยทฤษฏี t- test ใช้เมื่อกลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก ( n < 30 )แต่ในทางปฏิบัติ t- test ใช้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดใดก็ได้ ขอเพียงแต่ให้ประชากรของกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมามีการแจกแจงปกติ หรือเข้าใกล้การแจกแจงปกติ ( Weiss. 1995 :537 )
           ถ้า ให้ทดสอบด้วย F - test ถ้าค่า F - test ไม่มีนัยสำคัญ ทางสถิติ ให้ใช้ poolet t –test แต่ถ้ามีนัยสำคัญทางสถิติตามระดับที่ตั้งไว้ ให้ใช้ Nonpooled t – test

ใบงานครั้งที่ 7

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม 2552 ได้รู้จักวิธีการทำWebboard ให้สวยงาม อาทิ
 (1) การใส่ปฏิทิน
      - เพิ่มใน Gadget ใน java/html โดย หาโค๊ดปฏิทินจาก google
 (2) การใส่นาฬิกา
      - เพิ่มใน Gadget ใน java/html โดย หาโค๊ดนาฬิการจาก google
(3) การทำสไสด์
      - เพิ่มใน Gadget ใน java/html โดย หาโค๊ดสไลด์จาก google
 (4) การปรับแต่งสีใน Webboard
      - ปรับแต่งในการสร้างข้อความใหม่
 (5) การใส่เพลงลงใน Webboard
      -เพิ่มใน Gadget ใน java/html โดย หาโค๊ดจากปฏิทินจาก google

ใบงานครั้งที่ 6

ให้นักศึกษา เสนอวิธีการใช้ http://www.google.co.th/
1.ใช้ทำอะไรได้บ้าง
-Search Engine
-ใช้ Google บอกอัตราแลกเปลี่ยนเงินแบบเร่งด่วน
-ใช้ Google พยากรณ์อากาศ
-ใช้ Google เป็นเครื่องคิดเลข
-ใช้ Google เป็น Dictionary
-ใช้ Google เป็นนาฬิกาบอกเวลาปัจจุบันทั่วโลก
-หาแผนที่ของทุกเมืองทั่วโลก
2.การค้นหาข้อมูลขั้นสูงมีวิธีการอย่างไร
   เทคนิคการค้นหาข้อมูลขั้นสูงด้วย Google
        หลายๆ ท่านคงรู้จัก Google ในฐานะเสิร์ชเอ็นจิ้นระดับแนวหน้า แต่ Google ยังมีเทคนิคในการหาข้อมูลให้ตรงใจอีกมาก ที่ให้ได้มาซึ่งทุกอย่าง ที่อยากดาวน์โหลด ในอินเตอร์เน็ต คุณสามารถใช้วิธีนี้ ในการหาดาวน์โหลดโปรแกรม แคร็ก ซีดี คีย์ หรือต่างๆนานา ที่คุณอยากได้ แต่ขอแนะนำว่า คุณควรจะดาวน์โหลด มาเพื่อการทดลอง ทดสอบ หรือการศึกษาเท่านั้น
   วิธีที่หนึ่ง
        พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Google?intitle:index.of? mp3 ชื่อเพลงตรงคำว่าชื่อเพลงนั้น เราจะพิมพ์เป็นชื่อเพลง, ชื่ออัลบั้ม หรือ ชื่อนักร้อง ลงไปแทนก็ได้ โดยถ้าเป็นเพลงเก่าๆ หน่อยแนะนำว่าให้ใช้เป็นชื่อนักร้องดีกว่า เช่น ?intitle:index.of? mp3 อำพล
   วิธีทีสอง
        พิมพ์คำเหลานี้ ใน Google Search
1) " parent directory " /spectralab 4.3213/ -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
2) " parent directory " DVDRip -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
3) " parent directory "Xvid -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
4) " parent directory " Gamez -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
5) " parent directory " MP3 -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
6) " parent directory " Name of Singer or album -xxx -html -htm -php -shtml -opendivx -md5 -md5sums
หมายเหตุ ให้คุณเปลี่ยน คำที่ตามหลัง parent directory เช่น MP3 Gamez appz DVDRip เป็นสิ่งที่คุณอยากได้ แล้วก็ค้นหา คุณจะพบกับ ความมหัศจรรย์ใน Google
    วิธีที่สาม
        พิมพ์คำต่อไปนี้ใน Googleinurl:micr0s0f filetype:isoจากนั้น ก็เปลี่ยน คำว่า micr0s0f กับคำว่า iso เป็นคำที่คุณต้องการ เช่น inurl:myc0mpany filetype:zip
3.Webที่ใช้ค้นหาข้อมูล นอกจาก google แล้วมีอะไรอีก บอกชื่อ Web
    http://www.cuil.com/
    http://www.blackle.com/
    http://www.yahoo.com/
    http://www.lycos/ .com
    http://www.infoseek.com/
    http://www.altavista.com/
4.ให้กำหนดหมวดหมู่ในการค้นหาโดยใช้ google
อ้างอิง:
http://talk.mthai.com/topic/18705
http://www.google.co.th/

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบงานครั้งที่ 4

ให้นักศึกษาค้นหาและสังเคราะห์แนวคิดเป็นของตนเอง ซึ่งมีคำดังต่อไปนี้
(1) การจัดการความรู้
      การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(2) ขั้นตอนการจัดการความรู้
      กระบวนการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ
1. การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์
5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็น Explicit Knowledge อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเป็น Tacit Knowledge จัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น
7. การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่นเกิดระบบการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง

(3) แหล่งข้อมูล
      แหล่งข้อมูล หมายถึง สถานที่หรือแหล่งที่เกิดข้อมูล แหล่งข้อมูลจะแตกต่างกันไปตามข้อมูลที่ต้องการ เช่น
      บ้าน เป็นแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับนักเรียน โดยบันทึก ข้อมูลไว้ในทะเบียนบ้าน
      ห้องสมุด เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ต่าง ๆ
     ข้อมูล บางอย่างเราอาจจะนำมาจากแหล่งข้อมูลหลายแหล่งได้ เช่นราคาของเล่นชนิดเดียวกัน เราอาจจะหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลซึ่งได้แก่ร้านค้าหลายร้านได้ และข้อมูลหรือราคาที่ได้อาจจะแตกต่างกันไป
     หนังสือพิมพ์ เป็นแหล่งข้อมูลที่มีทั้งข้อความ ตัวเลข รูปภาพ

(4) เครือข่ายการเรียนรู้
     เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ และการเรียนรู้ระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล องค์การ และแหล่งความรู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นระบบที่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่และการประยุกต์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาชีพหรือทางสังคม
(5) สารสนเทศ
     สารสนเทศ หมายถึง สิ่งที่ได้จากการนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาประมวลผล เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามจุดประสงค์ สารสนเทศ จึงหมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการเลือกสรรให้เหมาะสมกับการใช้งานให้ทันเวลา และอยู่ในรูปที่ใช้ได้ สารสนเทศที่ดีต้องมาจากข้อมูลที่ดี การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นอย่างดี เช่น อาจจะมีการกำหนดให้ผู้ใดบ้างเป็นผู้มีสิทธิ์ใช้ข้อมูลได้ ข้อมูลที่เป็นความลับจะต้องมีระบบขั้นตอนการควบคุม กำหนดสิทธิ์ในการแก้ไขหรือการกระทำกับข้อมูลว่าจะกระทำได้โดยใครบ้าง นอกจากนี้ข้อมูลที่เก็บไว้แล้วต้องไม่เกิดการสูญหายหรือถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจ

อ้างอิง :
http://www.dopa.go.th/iad/km/km_des.html
http://school.obec.go.th/bansa_s/data1.html
http://www.trang.psu.ac.th/
http://www.tanti.ac.th/Com-tranning/IT/techno.html

ใบงานครั้งที่ 2

ให้นักศึกษาศึกษาข้อมูลจากสถานศึกษาของนักศึกษาแล้วดำเนินการจัดลงในบล็อกของนักศึกษาดังนี้
ชื่อหน่วยงานที่นักศึกษาศึกษา
โรงเรียนบ้านร่าปู
สถานที่ตั้งของหน่วยงาน(ที่อยู่)

หมู่ที่ 1 ต.เกาะกลาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ

การจัดการเรียนการสอนผ่านโทรทัศน์ทางไกลผ่านดาวเที่ยม
วิสัยทัศน์

ภายในปีการศึกษา 2553 โรงเรียนบ้านร่าปู จัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน พัฒนาวิชาการ และกิจกรรมตามมาตรฐานการศึกษา พัฒนาสู่โรงเรียนในฝัน
ยุทธศาสตร์

1.พัฒนาระบบการรับนักเรียน
2. ปฏิรูปการเรียนรู้
3. บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม
4. ใช้แผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการ
5.ปฏิรูปกระบวนการการนิเวศ กำกับ ตรวจสอบ ติดตามผล
6.พัฒนาเข้าสู่ระบบการประกันคุณภาพ
บริบท

สถานศึกษามีการจัดการศึกษา 2 ระดับ คือ การศึกษาปฐมวัย ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
โครงสร้างสถานศึกษา

1. แผนงานบริหารวิชาการ
2. แผนงานบริหารทั่วไป
3. แผนงานบริหารบุคคล
4. แผนงานบริหารงบประมาณ
สภาพปัญหาหรือสิ่งที่ต้องการพัฒนา

การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม การพัฒนาสภาพแวดล้อม 
อ้างอิงเอกสาร แผนปฏิบัติราชการ โรงเรียนบ้านร่าปู

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมทางการศึกษา

งานครั้งที่ 
นายศิริวัฒน์ พุดทอง
รหัส 5246701069
ประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา

อธิบายความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและสารสนเทศ

1. การจัดการ หมายถึง ชุดของหน้าที่ต่าง ๆ ที่กำหนดทิศทางในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficient) หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างเฉลียวฉลาด และคุ้มค่า ส่วนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผล (Effective) หมายถึงการตัดสินใจอย่างถูกต้อง และมีการปฏิบัติการได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ดังนั้น ผลสำเร็จของการจัดการต้องมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลควบคู่กันไป
การบ ริหาร หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆอย่างที่บุคคลร่วมกัน กำหนดโดยใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม (สมศักดิ์ คงเที่ยง , 2542 : 1)
2. นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย
3. เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุม องค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm)
4. ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น บุคคล สิ่งของสถานที่ ฯลฯ ข้อมูลเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องข้อมูลต้องถูก ต้องแม่นยำครบถ้วนขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วของ การเก็บข้อมูล
5. สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น สารสนเทศที่เป็น ความรู้ที่เกิดจากวิทยุ โทรศัพท์มือถือ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวเราซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ดาวเทียม โทรศัพท์ เครื่องจักร ที่เกี่ยวกับสารสนเทศได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ เช่น การฝาก ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียน ฯลฯ
6. ระบบสารสนเทศ (Information System ) หมายถึง ระบบที่มีการนำคอมพิวเตอร์
มาช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ หรือจัดการกับข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ข้อมูลนั้นกลายเป็น
สารสนเทศที่ดี สามารถนำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว
และถูกต้อง
7. ระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศ ช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร
8. การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
9. เครือข่าย หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันดังนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ
10. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลและการสื่อสารนับตั้งแต่การสร้าง การนำมาวิเคราะห์ หรือประมวลผลการรับและส่งข้อมูล การจัดเก็บและการนำไปใช้ใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้ มักจะหมายถึง คอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ (hardware) ส่วนคำสั่ง (software) และส่วนข้อมูล (data) และระบบการสื่อสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ระบบสื่อสารข้อมูล ดาวเทียม หรือเครื่องมือสื่อสารใดๆ ทั้งมีสายและไร้สาย
11. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลและการสื่อสารสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการสื่อสารนั้น จะมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของใช้งาน เช่น บางครั้งอาจจะใช้เทคโนโลยีดาวเทียม เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบ e-Learning หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีความจำเป็นในการพัฒนาการศึกษา

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แนวคิดเกี่ยวกับการจัดนวัตกรรมและสารสนเทศของสถานศึกษา



ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของเทคโนโลยีข่าวสาร มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยบริหารจัดการด้านต่างๆในทุกๆที่ ไม่เว้นแม้แต่สถานศึกษา เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ เป็นคนเก่ง คนดี อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขและก้าวทันเทคโนโลยี
ซึ่งการนำเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าวมาใช้บริหารจัดการในสถานศึกษา จะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะผลักดันการจัดการศึกษาไปสู่ทิศทางที่ต้องการได้ โรงเรียนเทศบาล วัดชัยชุมพล สังกัดเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มีการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 1-6 เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มีนักเรียน 1,333 คน (ปี พศ.2552 ) ซึ่งนับว่าเป็นสถานศึกษาที่มีบุคลากรมากพอควร แต่ปัจจุบันการบริหารจัดการสารสนเทศยังมีปัญหาหลายอย่างเช่น ข้อมูลบุคลากร งานทะเบียนรายบุคคลของนักเรียน และการวัดผลประเมินผล ยังใช้การประมวลผลด้วยมือ ไม่มีฐานข้อมูลที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้งาน ทำให้ครู อาจารย์ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องต้องทำงานที่ซ้ำซ้อน การจัดทำสารสนเทศต่างๆ การออกรายงานหรือผลการเรียน ต้องใช้เวลาในการจัดทำค่อนข้างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้การคำนวณ ทำให้เสี่ยงต่อการผิดพลาด อีกทั้งเมื่อผู้บริหารสถานศึกษาต้องการใช้ข้อมูลและสารสนเทศที่จำเป็นในการวางแผนบริหารจัดการ พบว่าต้องใช้เวลาในการค้นหาค่อนข้างมาก เพราะข้อมูลยังกระจัดกระจายอยู่หลายส่วนและไม่เป็นปัจจุบัน นอกจากนี้การดูผลการเรียนของนักเรียน ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องบางครั้งยังไม่สะดวกและเกิดความล่าช้าอีกด้วย
จากสภาพความเป็นจริงและปัญหาทั้งหมด ทำเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาคือ ขาดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยบริหารจัดการ ทำให้ข้อมูลขาดความเป็นปัจจุบัน ครู
และบุคลากรที่เกี่ยวข้องที่มีภาระมากอยู่แล้ว ยังต้องมาทำงานที่ซ้ำซ้อน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาในภาพรวม
เพื่อให้การดำเนินงานบริหารจัดการสารสนเทศ การวัดผลประเมินผลของนักเรียน รวมทั้งการรับทราบผลการเรียนของนักเรียนมีความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ สอดคล้องกับแนวทางปฏิรูปการศึกษาในยุคปัจจุบัน จึงมีความจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศทางด้านคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบริหารจัดการ


วัตถุประสงค์
1) เพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการข้อมูลบุคลากร งานทะเบียนของนักเรียน
การบันทึกผลการเรียน การประเมินผลการเรียน และการรายงานผลการเรียน
ของนักเรียนเป็นระบบอัตโนมัติ
2) เพื่อพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลบุคลากร นักเรียน และการวัดผลประเมินผล
อย่างมีประสิทธิภาพ
3) สร้างข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหารในการบริหารงานในระดับองค์กร
4) สร้างโปรแกรมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ครูและผู้เกี่ยวข้องในการดูรายงานต่างๆ
รวมถึงนักเรียนและผู้ปกครอง สามารถตรวจสอบผลการเรียนผ่านเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ได้
สามารถจัดการข้อมูลต่อไปนี้
ก. การจัดการข้อมูลพื้นฐาน
เป็นการจัดทำระบบที่สามารถบันทึก และจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น
สำหรับการจัดการเรียนการสอน และสามารถปรับปรุงแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ตามความจำเป็น ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานสำหรับบันทึกประวัติส่วนตัว เช่น คำนำหน้าชื่อ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา หรือข้อมูลพื้นฐานในการวัดผลประเมินผล เช่น เกณฑ์การประเมินผล เกณฑ์การจบช่วงชั้น ข้อมูลพื้นฐานโรงเรียน ฯลฯ
ข. การจัดการข้อมูลบุคลากร
เป็นการจัดทำระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลประวัติส่วนตัวของครู ให้เพิ่ม ลบ แก้ไขและค้นหาข้อมูลครูได้ โดยจะทราบได้ว่าครูคนใดประจำชั้นห้องใดหรือสอนวิชาอะไรในแต่ละปีการศึกษา
ค. การจัดการข้อมูลนักเรียน
เป็นการจัดทำระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลประวัติของนักเรียน ให้เพิ่ม ลบ แก้ไข หรือค้นหาข้อมูลนักเรียนในแต่ละห้องเรียนตามปีการศึกษาต่างๆได้
ง. การจัดการวิชาเรียน ประกอบด้วย
1) การจัดทำระบบที่สามารถจัดเก็บข้อมูลวิชาเรียน ให้สามารถเพิ่ม
ลบ แก้ไข หรือค้นหาวิชาเรียนทั้งหมดได้
2) จัดทำระบบที่สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไข หรือค้นหาวิชาที่เปิดสอนใน
แต่ละปีการศึกษาได้
3) จัดทำระบบที่สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไข หรือค้นหาครูผู้สอนประจำ
วิชาในแต่ละปีการศึกษาได้
จ. การจัดการผู้ใช้งานระบบ
ระบบมีการแบ่งระดับการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้ต่างๆในการเข้าถึงข้อมูลที่ต่างกันคือ ผู้ดูแลระบบ เจ้าหน้าที่ทะเบียนและวัดผล ครูประจำชั้น ครูผู้สอน ผู้บริหาร นักเรียนและผู้ปกครอง

การจัดการผลการเรียน มีขอบเขตดังนี้
ก. จัดทำระบบที่สามารถบันทึกผลการเรียนแต่ละรายวิชาหรือรายคนผ่านทาง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ และส่งผลการเรียนของนักเรียนโดยอัตโนมัติ
ข. ระบบมีการแบ่งระดับการเข้าถึงการจัดการผลการเรียน โดยกลุ่มผู้ใช้ใน
ระดับต่างๆเช่น ครูผู้สอนสามารถบันทึกผลการเรียนเฉพาะรายวิชาที่สอน
ครูประจำชั้นสามารถตรวจสอบผลการเรียนของนักเรียน เฉพาะนักเรียน
ในห้องที่ประจำชั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ทะเบียนและวัดผลสามารถบันทึก
ผลการเรียน ทั้งรายวิชาและรายคนทุกชั้นเรียน
ค. นักเรียนและผู้ปกครองสามารถตรวจสอบผลการเรียน ผ่านทางเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ได้

การสร้างรายงาน มีขอบเขตดังนี้
ก. สามารถสร้างรายงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลครู ข้อมูลนักเรียน หรือข้อมูล
วิชาเรียนที่เป็นปัจจุบันเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดการศึกษา หรือด้านอื่นๆ
ที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน
ข. สามารถสร้างรายงานผลการเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
รายชั้นเรียนหรือแยกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อให้ครูและผู้บริหารนำ
ไปใช้ในการบริหารจัดการในสถานศึกษาได้
ค. สามารถพิมพ์เอกสารที่ใช้เป็นหลักฐานในการประเมินผล ตามหลักสูตร
การศึกษาเช่นระเบียนแสดงผลการเรียน และใบรับรองผลการศึกษา

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. สถานศึกษาสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการบริหารจัดการได้
2. อำนวยความสะดวกแก่ครูและผู้เกี่ยวข้องในการประเมินผลการเรียน การบันทึก
ผลการเรียน และการรายงานผลการเรียน

3. อำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบ
ผลการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
4. ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการบริหารได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ
5. สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสถานศึกษา และสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปการศึกษา
ผลที่ได้รับเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
1. ระบบสารสนเทศที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนและวัดผล ใช้ในการจัดการงานทะเบียน
และวัดผล
2. ระบบสารสนเทศที่ใช้จัดการและการประมวลผลการเรียนของนักเรียน ในระดับ
ประถมศึกษา
3. ระบบสารสนเทศสำหรับครูผู้สอน ครูประจำชั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนและวัดผล
เพื่อใช้บริหารจัดการเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศส่วนตัวและผลการเรียนของนักเรียน
4. ระบบสารสนเทศสำหรับนักเรียนและผู้ปกครอง ในการตรวจสอบผลการเรียนผ่าน
ทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
5. แบบฟอร์มในการสร้างรายงานต่างๆที่เกี่ยวกับข้อมูลครู ข้อมูลนักเรียน ข้อมูล
วิชาเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับครู เจ้าหน้าที่ทะเบียนวัดผล และ
ผู้บริหาร รวมทั้งสร้างเอกสารการจบการศึกษาของนักเรียนได้

สรุปเนื้อหาการเรียนวิชานวัตกรรมและสารสนเทศครั้งที่ 3

สรุปองค์ความรู้ สัปดาห์ที่ 3 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2552
นายศิริวัฒน์ พุดทอง รหัส 5246701069
ป.บัณฑิต การบริหารการศึกษา ภาคเรียนที่ 2/2552
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช
การจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ

- ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม
- ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่างๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม

บทบาทใหม่ของการบริหารทุนมนุษย์
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) ต่างจากการบริหารทรัพยากรบุคคล ตรงที่เน้นความสำคัญของคุณค่าหรือมูลค่าของคนและสิ่งที่คนในองค์กรผลิตหรือสร้างขึ้นมา แต่ไม่ได้เน้นหน้าที่ด้านการบริหารงานบุคคล ดังนั้น การบริหารทุนมนุษย์จึงเกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบของกระบวนวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคล (Impact of People Management Practice) และความทุ่มเทพยายามของคนต่อความสำเร็จขององค์กร มืออาชีพหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าการบริหารทรัพยากรบุคคลหมดความสำคัญ และอาจจะไม่จำเป็นต้องทำไป แต่อย่างไรหน้าที่ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลก็ยังคงอยู่ต่อไป แต่ต้องทำอย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และต้องมีการปรับบทบาทการบริหารทรัพยากรบุคคลเสียใหม่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป


ข้อมูล DATA
- ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประเมินผล
- กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
สารสนเทศ (Information )
- ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
- ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมายความรู้ (Knowledge)
ผลการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศโดยมีการจัดระบบ สร้างเป็นองค์ความรู้ความเฉลียวฉลาด (Wisdom)
การนำเอาความรู้ต่างๆมาบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานในสาขาวิชาต่างๆเชาว์ปัญญา (Intelligent) ผลการปรับแต่งและความจดจำความเฉลียวฉลาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดที่ฉับไว
รูปแบบการจัดการความรู้ ความรู้แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
- ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
- ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ
วิธีการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
KM ไม่ทำไม่รู้ เรียนลัดและต่อยอด
โมเดลปลาทู


“ โมเดลปลาทู” เป็นโมเดลอย่างง่าย ของ สคส. ที่เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี ๓ ส่วน คือ
๑ . ส่วน “ หัวปลา” (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า “ เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?” โดย “ หัวปลา” นี้จะต้องเป็นของ “ คุณกิจ” หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี “ คุณเอื้อ” และ “ คุณอำนวย” คอยช่วยเหลือ
๒ . ส่วน “ ตัวปลา” (Knowledge Sharing-KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง “ คุณอำนวย” จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ “ คุณกิจ” มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว “ คุณกิจ” พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม
๓ . ส่วน “ หางปลา” (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ “ คลังความรู้” หรือ “ ขุมความรู้” ที่ได้จากการเก็บสะสม “ เกร็ดความรู้” ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ ตัวปลา” ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ “ หางปลา” นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป
Knowledge Vision Knowledge Assets Knowledge Sharing KVKSKA ส่วนหัว ส่วนตามองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า “ ทำ KM ไปเพื่ออะไร”
กระบวนการจัดการความรู้
1. กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
2. แสวงหาความรู้
3. จัดเก็บ และศึกษาหาความรู้
4. การสร้างความรู้
5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้
6. การถ่ายโอนและกลั่นกรองความรู้
7. การแบ่งความรู้
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้
1. การจับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
2. การวิเคราะห์ความรู้ที่จับได้
3. การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้
4. การสังเคราะห์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
CoP(Community of Practice)
ชุมชนนักปฏิบัติ คือ อะไร คือ ชุมชนที่มีการรวมตัวกัน หรือเชื่อมโยงกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีลักษณะดังนี้
- ประสบปัญหาลักษณะเดียวกัน
- มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากกันและกัน
- มีเป้าหมายร่วมกัน มีความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะพัฒนาวิธีการทำงานได้ดีขึ้น
- วิธีปฏิบัติคล้ายกัน ใช้เครื่องมือ และภาษาเดียวกัน
- มีความเชื่อ และยึดถือคุณค่าเดียวกัน
- มีบทบาทในการสร้าง และใช้ความรู้
- มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน อาจจะพบกันด้วยตัวจริง หรือผ่านเทคโนโลยี
-มีช่องทางเพื่อการไหลเวียนของความรู้ ทำให้ความรู้เข้าไปถึงผู้ที่ต้องการใช้ได้ง่าย
- มีความร่วมมือช่วยเหลือ เพื่อพัฒนาและเรียนรู้จากสมาชิกด้วยกันเอง
- มีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่อง มีวิธีการเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่สายในทางสังคม
ทำให้เพิ่มพูนความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่ง่ายที่สุด ชุมชนนักปฏิบัติ คือ คนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งทำงานด้วยกันมาระยะหนึ่ง มีเป้าหมายร่วมกัน และต้องการที่จะแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์จากการทำงาน กลุ่มดังกล่าวมักจะไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งโดยองค์การ เป็นกลุ่มที่เกิดจากความต้องการทางสังคม และความพยายามที่จะทำให้บรรลุผลสำเร็จ เป็นกลุ่มที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีการกำหนดไว้ในแผนภูมิโครงสร้างองค์กร และอาจจะมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกับผู้นำองค์กร ในหนึ่งองค์กรอาจจะมีชุมชนนักปฏิบัติจำนวนมาก และคนคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกในหลายชุมชน ชุมชนนักปฏิบัติมีความสำคัญอย่างไร เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เกิดจากความใกล้ชิด ความพอใจ และพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ๆ มากกว่าโครงสร้างที่เป็นทางการ คำว่า ปฏิบัติ หรือ practice ใน CoP ชี้จุดเน้นที่ การเรียนรู้ซึ่งได้รับจากการทำงาน เป็นหลัก เป็นแง่มุมเชิงปฏิบัติ ปัญหาประจำวัน เครื่องมือใหม่ๆ พัฒนาการในเรื่องงาน วิธีการทำงานที่ได้ผล และไม่ได้ผล การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้ และความเข้าใจได้มากกว่าการเรียนรู้ จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติ เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ดีกว่า การสื่อสารตามโครงสร้างที่เป็นทางการ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชุมชนนักปฏิบัติ
อุปสรรคของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- ไม่พูด ไม่คุย
- ไม่เปิด ไม่รับ
- ไม่ปรับ ไม่เรียน
- ไม่เพียร ไม่ทำ
คลังความรู้ (Knowledge Assets) ประกอบด้วย 3 ส่วน
1.เรื่องเล่าหรือคำพูดที่เร้าใจ + 2. การถอดบทเรียนที่ได้ + 3. แหล่งข้อมูลบุคคลอ้างอิง (Tacit Knowledge) (Explicit Knowledge) (References)
ข้อควรระวังในการทำ KS
- ให้ share "เรื่องเล่า" ไม่ใช่ share "ความคิด"
- เป็น Storytelling ไม่ใช่ Problem-solving ไม่ใช่ Planning
- share แล้วต้อง Learn และ Learn แล้วต้อง Lead (นำ)
...นำสู่การกระทำ
...นำสู่ภาพที่ต้องการ
"ทุกความสำเร็จในองค์กร ย่อมมาจากกลยุทธ์การวางแผน การปฏิบัติ และการจัดการอย่างมืออาชีพ"


การจัดการความรู้
บทบาทใหม่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. ผู้ดูแลทุนมนุษย์ ( Human Capital Steward )
2. ผู้ประสานสัมพันธ์ ( Knowledge Facilitator )
3. ผู้อำนวยความรู้ ( Relationship Bulder )
4. ผู้มีอาชีพที่เฉพาะ ( Raped Deployment Sepecidist )
ความรู้คืออะไร
1. Knowledge Capital เป็นต้นทุน องค์กร ทรัพยากรมนุษย์
2. ความสามารถในการทำให้สารสนเทศ และข้อมูลมาเป็นการกระทำที่มีประสิทธิภาพได้
3. ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ และความเชี่ยวชาญ
ข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ความเฉลียวฉลาด และเชาว์ปัญญา
ข้อมูล ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
สารสนเทศ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมาย
ความรู้ ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศโดยมีการจัดระบบความคิด เกิดเป็นความรู้ และความเชี่ยวชาญ
ความเฉลียวฉลาด การนำเอาความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อทำงานในสาขาต่างๆ
เชาว์ปัญญา ผลจากการปรับแต่งและจดจำความเฉลียวฉลาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดที่ฉับไว
รูปแบบของความรู้
ประเภทของความรู้กับการจัดการรู้
ความรู้อาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร หรือ วิชาการ อยู่ในตำรา การจัดการจะเน้นการเข้าถึงแหล่งความรู้ ตรวจสอบและตีความได้ เมื่อนำไปใช้จะเกิดความรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นใช้อ้างอิงต่อไป
ความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้แฝงอยู่ในตัวคน เป็นประสบการณ์ที่สั่งสม มายาวนาน เป็นภูมิปัญญา การจัดการความรู้แบบนี้ จะเน้นที่การจัดเวทีเพื่อให้มีการแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน อันนำไปสู่ความรู้ใหม่ที่จะนำไปใช้งานต่อไป
ซึ่งในสภาพความเป็นจริง ความรู้ทั้ง 2 ประเภทเหล่านี้ มีการสับเปลี่ยนสภาพกันตลอดเวลา การจัดการความรู้ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความรู้เช่น
โมเดลปลาทู
การจัดการความรู้ในรูปแบบของ “โมเดลปลาทู” ที่แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัวปลา หรือส่วนของเป้าหมายของการจัดการความรู้ (Knowledge Management Vision), ส่วนของตัวปลา หรือส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) และส่วนของหางปลา หรือตัวคลังความรู้ (Knowledge Assets)



กระบวนการจัดการความรู้
1. กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
2. แสวงหาความรู้
3. จัดเก็บ และศึกษาหาความรู้
4. การสร้างความรู้
5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้
6. การถ่ายโอนและกลั่นกรองความรู้
7. การแบ่งความรู้
การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้
1. การจับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
2. การวิเคราะห์ความรู้ที่จับได้
3. การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้
4. การสังเคราะห์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

สร้างระบบสารสนเทศจัดการเรียนรู้
การจัดเก็บความรู้เป็นระบบ
การค้นหาและเรียกใช้ความรู้
การให้ความรู้ร่วมกันและการกระจายความรู้
ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน
COP ย่อมาจาก Community of Practice หมายถึง ชุมชนนักปฏิบัติ หรือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่รวบรวมกลุ่มคนที่มีความรู้ความสนใจในเรื่องเดียวกัน มาร่วมแลกเปลี่ยน แบ่งปัน เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ร่วมกัน เพื่อได้มาซึ่ง Knowledge Assets : KA หรือ ขุมความรู้ ในเรื่องนั้น ๆ สำหรับคนในชุมชนเพื่อไปทดลองใช้ แล้วนำผลที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสมาชิก อันส่งผลให้ความรู้นั้น ๆ ถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการปฏิบัติ ประยุกต์ และปรับใช้ตามแต่สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่หลากหลาย อันทำให้งานบรรลุผลดีขึ้นเรื่อย ๆ
COP เป็น 1 ใน เครื่องมือของการจัดการความรู้ (KM Tools) ประเภท Non-Technical Tools สำหรับการดึงความรู้ประเภท Tacit Knowledge หรือ ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ลักษณะที่สำคัญของ COP
• กลุ่มคนที่รวมตัวกันโดยมีความสนใจและความปรารถนา (Passion) ร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (มี Knowledge Domain)
• ปฏิสัมพันธ์และสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม เป็นชุมชน (community) ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
• แลกเปลี่ยนและพัฒนาความรู้ร่วมกัน ต้อง Practice และสร้างฐานข้อมูล ความรู้ หรือแนวปฏิบัติ

ประโยชน์ของ COP

ระยะสั้น
• เวทีของการแก้ปัญหา ระดมสมอง
• ได้แนวคิดที่หลากหลายจากกลุ่ม
• ได้ข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจ
• หาทางออก/คำตอบที่รวดเร็ว
• ลดระยะเวลา และการลงทุน
• เกิดความร่วมมือ และการประสานงานระหว่างหน่วยงาน
• ช่องทางในการเข้าหาผู้เชียวชาญ
• ความมั่นใจในการเข้าถึงและแก้ปัญหา
• ความผูกพันในกรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
• ความสนุกที่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมงาน
• ได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกัน รวมทั้งอาจกำลังเผชิญปัญหาที่คล้ายคลึงกัน เมื่อได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จะทำให้ค้นพบวิธีแก้ปัญหา

ระยะยาว
• เสริมสร้างวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขององค์กร
• เกิดความสามารถที่ไม่คาดการณ์ไว้
• วิเคราะห์ความแตกต่างและตั้งเป้าหมายการปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• แหล่งรวบรวมและเผยแพร่วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ
• เกิดโอกาสพัฒนาองค์กรอย่างก้าวกระโดด
• เครือข่ายของกลุ่มวิชาชีพ
• ชื่อเสียในวิชาชีพเพิ่มขึ้น
• ได้รับผลตอบแทนจากการจ้างงานสูงขึ้น
• รักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้
• เพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในองค์กร
• ขับเคลื่อนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์